เมื่อเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตามไปอย่างกะทันหัน เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างไม่สะดุด หนึ่งในนั้นก็คือวิถีการทำงาน จากที่เคยทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน ต้องกลายเป็นทำงานจากที่บ้าน หรือที่ฮิตติดปากกันว่า Work from home หลายบริษัททั่วโลก รวมถึง SC Asset จึงต้องหาแนวทางใหม่ๆ สำหรับการทำงานที่เหมาะสมกับยุค New Normal ที่ต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนทุกกลุ่ม เพื่อเตรียมเข้าสู่ยุคนี้อย่างเต็มรูปแบบ
Hybrid Working ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักที่หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างเลือกกลยุทธ์นี้มาใช้รวมถึง SC Asset คือรูปแบบการทำงานแบบผสมผสานที่หลายคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ควบคู่กับการทำงานในออฟฟิศ เป็นแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นสูง และได้รับความสนใจในวงกว้าง จากทั้งพนักงาน ผู้บริหาร และองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ทั้งนี้ การทำงานแบบผสมผสาน หรือ Hybrid Working อาจจะไม่ตอบโจทย์กับการทำงานในบางสถานการณ์ได้ เราจะพาทุกคนมาสำรวจ สิ่งที่ควรคำนึงถึง หากอยากลองทำงานแบบ Hybrid Working จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย
1.นโยบายของบริษัท
การดำเนินงานของแต่ละบริษัทจะมีแนวทางและนโยบายในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป การนำรูปแบบการทำงานแบบผสมผสานหรือ Hybrid Working มาปรับใช้ จะต้องคำนึงถึงรายละเอียดในส่วนนี้ด้วยว่าเหมาะสมและสามารถเดินทางไปในทิศทางเดียวกันได้หรือไม่ เนื่องจากการทำงานแบบไฮบริด จะต้องมีการปรับแนวคิดและพฤติกรรมของคนในองค์กรใหม่ทั้งหมด อาจจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรแบบดั้งเดิมได้ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมภายในองค์กรที่ต้องการ ปฏิสัมพันธ์จากพนักงานอีกด้วย
2. ลักษณะงานที่รับผิดชอบและการออกแบบการทำงาน
แน่นอนว่าลักษณะการทำงานของแต่ละคนจะมีหน้าที่และรายละเอียดในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในบางตำแหน่งสามารถทำงานจากที่บ้านหรือจากสถานที่ไหนก็ได้ที่ทำให้งานบรรลุผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพที่ดี โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องเดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศ แต่ในขณะเดียวกันงานบางประเภท อาจจะต้องทำงานที่ออฟฟิศเป็นหลัก จึงไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ เช่น งานบัญชี งานไอที งานในวงการบันเทิง งานด้านบริการ งานในร้านอาหาร เป็นต้น ดังนั้น ก่อนจะเลือกทำงานแบบ Hybrid Working เราต้องสำรวจลักษณะการทำงานของตัวเราเองด้วย
3. พื้นที่ทำงานที่รองรับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยาการในการทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ผลของงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ การเลือกทำงานในพื้นที่ทำงานที่รองรับจะสามารถอำนวยความสะดวกต่อการทำงานแบบ Hybrid Working นั้นราบรื่นมากยิ่งขึ้น อาทิ สถานที่การทำงานที่มีบรรยากาศที่ดี โล่ง สบายตา ไม่แออัด ไม่มีเสียงดังรบกวนที่ส่งผลให้เราอาจจะเสียสมาธิในการทำงานได้ แสงไฟในพื้นที่ต้องมีอย่างเพียงพอและทั่วถึง โต๊ะทำงานที่กว้างและนั่งสบาย รองรับการทำงานของเราทุกอิริยาบถได้ ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ ความพร้อมของอุปกรณ์การทำงานส่วนตัว เช่น โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต สมุด ปากกา กระเป๋า และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ พนักงานจะต้องจัดสรรเวลาเพื่อแบ่งช่วงเวลาในการเข้าทำงานที่ออฟฟิศ ช่วยลดความแออัดในพื้นที่ที่ทำงานได้ อาจจะทำได้ด้วยการเข้าทำงานที่ออฟฟิศ 3 วัน และทำงานที่บ้านหรือ Work from home อีก 2 วัน
4. มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ตั้งแต่พนักงานหลายคนได้ Work from home มาอย่างยาวนาน แนวโน้มที่จะได้เข้าไปทำงานที่ออฟฟิศตามปกติคงจะเป็นไปได้ยาก การทำงานแบบไฮบริด จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้และพัฒนาศักยภาพในการทำงานที่บ้านให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การใช้โปรแกรม ZOOM หรือ Google Meet ในการประชุมงาน การใช้ Cloud ในการจัดเก็บไฟล์งานสำคัญ หรือส่งงานให้กับหัวหน้าได้ การใช้โปรแกรมต่าง ๆ ในการจัดการไฟล์เอกสารอีกมากมาย ให้ทุกคนได้เข้าถึงงานของกันและกันได้ นับว่าเป็นเรื่องที่สร้างความสะดวกให้พนักงาน สามารถเข้าถึงไฟล์งานและเอกสารต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ในการบริหารจัดการพื้นที่ภายในออฟฟิศทั้งหมดได้อย่างเป็นระบบพร้อม Insight Data ให้กับพนักงานทุกคน
5. การเดินทาง
จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ส่งผลให้คนทำงานอย่างเราไม่สะดวกที่จะเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปทำงานที่ออฟฟิศ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมีรถยนต์ส่วนตัว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังใช้บริการขนส่งสาธารณะ อาจจะต้องผ่านสถานที่แออัดมามากมายอีกด้วย ดังนั้น การทำงานที่บ้าน หรือทำงานในสถานที่อื่น ๆ ที่สะดวกกว่าการนั่งรถมาทำงาน อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของใครหลาย ๆ คนก็เป็นได้ นอกจากจะสะดวกแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโควิด-19 จากการเดินทางไกล ๆ ได้อีกด้วย
6. ต้องมี Work-Life Balance
Work-Life Balance เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะพนักงานหลายคนเลือกที่จะทำงานหนักเพื่อให้งานเสร็จเร็วขึ้น จนทำให้การจัดการชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัวไม่มีความสมดุล ดังนั้น เพื่อให้ชีวิตของเราดีขึ้น จะต้องรู้จักจัดสรรเวลาให้เหมาะสม สร้างความยืดหยุ่นให้กับการทำงานของเราเอง เพื่อที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลางาน ที่สำคัญ ทำให้เรามีชีวิตส่วนตัวมากขึ้น และได้ดูแลสุขภาพมากขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะใช้รูปแบบการทำงานแบบไหนก็ตาม จึงจำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดถึงพฤติกรรมการทำงานของตัวเองให้ดีเสียก่อนว่าเรามีความพร้อมในการทำงานลักษณะนี้มากน้อยเพียงใด เพื่อทำการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมของการทำงานรูปแบบใหม่ที่ลงตัว เพื่อให้ทุกคนสามารถปรับตัว และพร้อมที่จะก้าวไปสู่จุดที่ดียิ่งขึ้นได้
Leave a Reply