Millennials หรือ Gen Y คือ คนที่เกิดในช่วงปีค.ศ. 1980 ไปถึงช่วงกลางของยุค 90 หรือจนถึงต้นปี 2000 ถ้าเป็นอายุก็ตั้งแต่อายุ 20-37 ปี เป็นช่วงอายุที่คาบเกี่ยวระหว่าง First Jobber ไปจนถึงทำงานมีประสบการณ์ กลายเป็นผู้บริหาร หรือเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง แม้ว่าการลงทุนของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามภาระ และรายได้ที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะหารายได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุแถมโตมาในยุคเทคโนโลยี จึงมีทางเลือกในการลงทุนมากมาย แล้วควรจะลงทุนแบบไหนที่น่าสนใจ เรามีคำตอบครับ

- ออมเงินกับสถาบันทางการเงิน
ในวัยที่เพิ่งเริ่มต้นการทำงาน การออมเงินเพื่อเน้นความปลอดภัยนั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพื่อสะสมและเพิ่มพูนเงินทุนและนำไปสู่การลงทุนอื่นๆ ในอนาคตได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น ‘การฝากประจำ’ คือการออมเงินในแบบที่เราอยากแนะนำครับ ซึ่งคือการฝากเงินจำนวนเท่าๆ กันในทุกๆ เดือนโดยที่ไม่สามารถถอนออกมาได้ ตามระยะเวลาแบบระยะสั้นหรือระยะยาว ส่วนมากจะมีให้เลือกตั้งแต่ 3 เดือน – 1 ปี หรือจะเลือกแผน 2-3 ปีเลยก็ได้ซึ่งยิ่งออมนาน ทางธนาคารก็จะยิ่งให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นไปด้วย

- หุ้นแบบ DCA
DCA (Dollar-Cost Averaging) เป็นการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่องใน สินทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าราคาจะเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ผ่านกองทุนรวมหุ้น หรือซื้อหุ้นโดยตรงเลยก็ได้ ซึ่งควรลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอในแต่ละงวดด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กันเพื่อให้ราคาหุ้นเป็นราคา โดยเฉลี่ย ควรศึกษาข้อมูลของตลาดหุ้นให้ดีและเลือกหุ้นของบริษัทใหญ่ที่ไว้ใจได้

- กองทุนเพื่อการออม SSF/RMF
SSF ย่อมาจาก Super Savings Fund เป็นกองทุนที่เพิ่งเริ่มใช้เมื่อปี 2563 เน้นการออมระยะยาว 10 ปีและยังสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย เงื่อนไขคือต้องถือหน่วยลงทุนที่ซื้อไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ แต่ข้อดีคือไม่มีขั้นต่ำและไม่จำเป็นต้องซื้อทุกปีก็ได้ ซึ่งวิธีการลงทุนใน SSF ก็ง่ายแสนง่าย คือสามารถซื้อกับธนาคารได้เลยโดยตรง ซึ่งสามารถเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงมากหรือน้อยได้ตามใจคุณ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มาก-น้อยผันตามไปด้วย ข้อดีคือสามารถเลือกกองทุนในธุรกิจแห่งอนาคตที่คุณสนใจได้ เช่น กองทุนบริษัทต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี ด้านพลังงาน ด้านรักษ์โลก ฯลฯ
ส่วน RMF ย่อมาจาก Retirement Mutual Fund เป็นกองทุนที่เพื่อการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ โดยมี
ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี (หรืออย่างน้อยซื้อปีเว้นปี) ซึ่งสำหรับชาว Millennials แล้วก็ทำให้มีเวลาค่อยๆ สะสมออมเงินทีละเล็กละน้อยเพื่ออนาคตได้นั่นเอง

4. คริปโตเคอร์เรนซี
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักกับ คริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งคือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ที่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยนกันได้บนเทคโนโลยีแบบบล็อกเชน หลายคนให้ความสนใจลงทุนในคริปโตฯ เพราะมองว่าจะเป็นสกุลเงินในอนาคต เป็นระบบที่จะเข้ามา Disrupt สถาบันการเงินในปัจจุบัน ซึ่งหากใครได้ลองศึกษาเหรียญสกุลต่างๆ จนมั่นใจแล้วก็สามารถเข้ามาลงทุนในโลกนี้ได้ โดยลงทุนได้หลายช่องทางผ่าน Exchange ต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศที่ไว้ใจได้ หรือจะเปิด Wallet เป็นของตัวเองปผ่านแอพฯ ไทยและต่างประเทศเช่น Bitkub, Zipmex หรือ Binance ซึ่งข้อดีของการลงทุนในเหรียญคือมีเงิน 10 บาท ก็สามารถลงทุนได้ และมีโอกาสเติบโตหลายเท่าในอนาคต แต่ข้อควรระวังคือราคาของเหรียญมีความผันผวนและวิ่งขึ้น-ลงได้ตลอด 24 ชั่วโมง

5. อสังหาริมทรัพย์
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบศึกษาหาข้อมูลและชอบด้านอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเพื่อขายต่อ เก็งกำไรหรือปล่อยเช่า เพราะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้น หากเป็นมนุษย์เงินเดือน จะมีเครดิตที่ดีทางการเงินทำให้สามารถกู้สถาบันการเงินได้ไม่ยาก เป็นการใช้เงินต้นของธนาคารเพื่อการลงทุน หากศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดี เลือกลงทุนในทำเลแห่งอนาคตได้ก็ช่วยให้ได้กำไรส่วนต่างได้มาก
การลงทุนที่เราเลือกมานำเสนอให้นี้ เป็นการลงทุนที่ค่อยๆ ไล่สเต็ปทีละนิด เหมาะกับชาวมิลเลนเนียลที่ค่อยๆ ไต่ฐานเงินเดือนและรายได้เพิ่มยิ่งขึ้นไป แต่ก็ควรศึกษาการลงทุนแต่ละแบบให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยนะครับ